พาลวรรคที่ 3
สูตรที่ 1
ว่าด้วยคนพาล 2 จำพวก
[276] 21. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล 2 จำพวก 2จำพวก
เป็นไฉน คือ คนที่ไม้เห็นโทษโดยความเป็นโทษ 1 คนที่ไม่รับรอง
ตามธรรม เมื่อผู้อื่นแสดงโทษ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล 2
จำพวกนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต 2 จำพวก 2 จำพวกเป็น
ไฉน คือ คนที่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ 1 คนที่รับรองตามธรรม
เมื่อผู้อื่นแสดงโทษ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต 2 จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ 1
พาลวรรคที่ 3
อรรถกถาสูตรที่ 1
พาลวรรคที่ 3 สูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อจฺจยํ อจฺจยโต น ปสฺสติ ความว่า ทำผิดแล้ว ไม่เห็น
ความผิดของตนว่า เราทำผิด ได้แก่ ไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าทำผิดแล้ว
นำทัณฑกรรมมาขอขมาโทษ. บทว่า อจฺจยํ เทเสนฺตสฺส ความว่า
เมื่อเขากล่าวอย่างนี้แล้วนำทัณฑกรรมมาขอขมาโทษ. บทว่า ยถาธมฺมํ
น ปฏิคฺคณฺหาติ ความว่า เมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าจักไม่กระทำอย่างนี้
อีก ขอท่านโปรดยกโทษแก่ข้าพเจ้า ดังนี้ ก็ไม่ยอมรับการขอขมานี้ตาม
ธรรม คือตามสมควร คือไม่กล่าวว่า จำเดิมแต่นี้ ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้
อีก เรายกโทษแก่ท่าน ดังนี้. ธรรมฝ่ายขาวพึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม
กับที่กล่าวแล้ว.
จบอรรถกถาสูตรที่ 1
สูตรที่ 2
ว่าด้วยคน 2 จำพวก กล่าวตู่พระตถาคต
[268] 22. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน 2 จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่
ตถาคต 2 จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน 1 คน
ที่เชื่อโดยถือผิด 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน 2 จำพวกนี้ ย่อมกล่าว
ตู่ตถาคต.
จบสูตรที่ 2
อรรถกถาสูตรที่ 2
ในสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อพฺภาจิกฺขนฺติ ได้แก่ กล่าวตู่ คือกล่าวด้วยเรื่องไม่จริง
บทว่า โทสนฺตโร แปลว่า มีโทสะตั้งอยู่ในภายใน. จริงอยู่ คนแบบนี้
ย่อมกล่าวตู่พระตถาคต เช่น สุนักขัตตลิจฉวี กล่าวว่า อุตตริมนุสสธรรม
ของพระสมณโคดมหามีไม่. บทว่า สทฺโธ วา ทุคฺคหิเตน ความว่า
หรือว่า ผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า ด้วยศรัทธาที่เว้นจากญาณ มีความเลื่อมใส
อ่อนนั้น ถือผิด ๆ กล่าวตู่พระตถาคตโดยนัยเป็นต้นว่า ขึ้นชื่อว่า
พระพุทธเจ้านั้น เป็นโลกุตระทั้งพระองค์ พระอาการ 32 มีพระเกสา